วิธีแปลภาษาอังกฤษให้เก่ง

วิธีแปลภาษาอังกฤษให้เก่ง ใครๆ ก็สามารถเก่งภาษาอังกฤษได้ด้วยเคล็ดลับการเรียน “ง่ายๆ” นี้ จาก: มานิสา – เด็กสาวผู้ “ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ” ที่ทำคะแนน IELTS ได้ 7.0 จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อมานิสาหรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า “มานิสาเด็กโง่” ฉันได้ชื่อนี้มาเพราะ… ตั้งใจเรียนอย่างมากแต่ยังโง่ภาษาอังกฤษอยู่ดี คำว่า “โง่” เป็นคำศัพท์สำหรับคำว่า “รู้อะไรบ้างป่ะเนี่ย” 555
แค่เพียงพริบตา เพื่อนๆ ของฉันต่างต้อง “ตะลึง” เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภาษาอังกฤษของฉันจากระดับที่ “ไร้ซึ่งความหวัง” อย่างฉัน 555
และนี่คือเรื่องราวของฉัน…
เกรด F ในวิชาภาษาอังกฤษคือบทเรียนแรกในชีวิตของเธอ
การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยความคิดแบบเรียนๆ เล่นๆ ไปในช่วงแรก ฉันเลยไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรมากนัก ดังนั้นเกรดแต่ละวิชาที่ออกมานั้นก็แค่พอผ่าน แต่มีเพียงวิชาภาษาอังกฤษ “สุดยาก”นี้เท่านั้นที่ฉันได้เกรด “F” ซึ่งการได้เกรด “F” นี้แปลว่าฉันต้องลงเรียนใหม่หรือกลับไปสอบซ่อมเพื่อแก้ F ก็ไม่ได้
ด้วยความ “ละอาย” ฉันไม่กล้าที่จะขอเงินพ่อแม่เพราะว่า “ฉันต้องลงเรียนใหม่” ดังนั้นฉันเลยต้อง “เก็บ” เงินที่พวกท่านให้ฉันตอนต้นเดือนมาจ่ายเป็นค่าลงเรียนใหม่แล้วหลังจากนั้นอีกครึ่งเดือนฉันต้องกินข้าวกับเต้าหู้หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทน
พอช่วงเวลานั้นผ่านไป ฉันบอกกับตัวเองว่าต้องตั้งใจเรียนในมหาวิทยาลัยให้ดีเพราะการเรียนอย่างไม่ใส่ใจนั้นจะทำให้เสียเงินอย่างง่ายดาย ในปีแรกฉันเรียนวิชาทั่วไปง่ายๆ แต่พอเป็นวิชาภาษาอังกฤษ มันกลับเป็นวิชาที่ “ยากที่สุด” ที่ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี :/
ความคิดดี แต่เลือกผิดวิธี
ตอนนั้นเป็นช่วงที่เทอมสองเริ่มแล้ว เพื่อนของฉันออกไปทำงานพาร์ทไทม์กันจนหัวหมุน บางคนก็หางานที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่จ่ายเงินให้แค่ชั่วโมงละ 20 บาท บ้างก็ทำงานเป็นติวเตอร์ที่ได้เงิน 150 บาทต่อชั่วโมง พอกลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ทุกคนไม่สามารถทบทวนบทเรียนต่อได้แล้ว พวกเขาบอกกับฉันว่าการทำงานพาร์ทไทม์ช่วยให้พวกเขาสามารถหาเงินซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่ได้บ้าง แต่ฉันเองก็ยังสงสัยอยู่… แทงบอลออนไลน์ ที่นี่แทงบอลออนไลน์
ฉันคิดในใจกับตัวเองว่าทำงานอย่างหนักเหมือนพวกเขาหาเงินได้เพียงเดือนละ 5000-7000 บาทเท่านั้นและไม่มีเวลาให้กับการเรียน จากนั้นแน่นอนว่าก็ต้องลงเรียนใหม่แล้วหวังว่าเงินจากการทำงานพาร์ทไทม์จะมากพอที่จะจ่ายเงินลงเรียนใหม่ได้
ในเวลานั้นเองที่ฉันพบกับพี่สาวของฉันที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอให้ความคิดกับฉันว่า “เธอไม่ควรอยากได้เงินจากการทำงานพาร์ทไทม์ แต่เธอควรที่จะต้องตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าเธอพูดภาษาอังกฤษได้ เธอก็จะหางานที่ได้เงินเดือนสูงๆ ได้” หลังจากได้ยินความคิดของพี่สาวบวกกับเกรด “F” ที่ได้มานั้น ฉันจึงตัดสินใจ “ขอเงิน” จากพ่อแม่ของฉันเพื่อลงทะเบียนเรียนภาษาอังกฤษอย่างเหมาะสมที่ศูนย์ภาษา
ฉันลงเรียน 2 หลักสูตรที่ศูนย์ภาษาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง (ไม่ระบุชื่อ) ได้แก่ หลักสูตรแรกคือหลักสูตรอ่านออกเสียงและอีกหนึ่งหลักสูตรคือหลักสูตรการสื่อสารพื้นฐาน หลังจากนั้น 6 เดือนการอ่านออกเสียงของฉันดีขึ้นเล็กน้อย แต่ฉันยังคงสื่อสารได้ไม่ดี
นอกจากนี้ฉันยังพูดภาษาอังกฤษได้แย่จนใครๆ ก็ต้องหัวเราะเมื่อได้ยิน… มันทำให้ฉันกลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษต่อหน้าคนเยอะๆ ฉันสิ้นหวังนะ แต่พ่อแม่ของฉันก็คอยโทรหาเพื่อถามถึงการเรียนภาษาอังกฤษของฉันอยู่เป็นประจำจนฉันต้องโกหกว่า “หนูคิดว่าหนูทำได้ดีขึ้นนะ”ถ้าไม่ยอมทำพลาดก็จะไม่มีวันเรียนรู้อะไรฉันยังคงเสียใจที่ฉันใช้เงินก้อนโตลงเรียนภาษาอังกฤษที่ศูนย์ภาษา แต่การ “ไม่ได้อะไรกลับมาเลย” นั้นน่าเสียใจยิ่งกว่า ฉันจึงเลือกตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า “ฉันไม่ต้องการศูนย์ภาษาแล้ว ฉันจะเรียนภาษาด้วยตัวเอง” จากนั้นฉันก็เริ่มเรียนภาษาด้วยตัวเองเป็นเวลา 1 เดือนและต้อง “พบกับปัญหา” มันยากเกินไป ฉันไม่รู้ว่าต้องเริ่มที่ไหน ด้วยการที่ฉันเป็น “คนขี้ลืม” ฉันมักจะลืมสิ่งที่ฉันเรียนอยู่เป็นประจำฉันจดสิ่งที่ฉันเรียนทุกครั้งจน “ทั้งกำแพงมีแต่โน้ตที่ฉันจดไว้” แต่ฉันจำสิ่งที่จดได้แค่เพียง… 3 วันเท่านั้น จากนั้นฉันก็ลืมมันทั้งหมด
… ฉันท่องจำไวยากรณ์ได้เหมือนกับสูตรคูณ แต่ฉันไม่รู้วิธีใช้ แม้แต่เพื่อนของฉันยังส่ายหน้า “อย่างแรง” “เธอนี้แย่ขั้นหนักเลยนะเนี่ย”!
ด้วยความหมดหวังและไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดีจนเกือบจะ ”ถอดใจ” ฉันเลยตัดสินใจ “เขียนอีเมลจากใจ” ส่งไปให้อาจารย์ภาษาอังกฤษของฉันที่มหาวิทยาลัย “ยอมสารภาพความรู้สึก” ที่แสนเจ็บปวดของฉันในการพยายามเรียนภาษาอังกฤษที่ “โคตรยาก” แล้วอาจารย์ก็แนะนำให้ฉันเรียนาภาษาอังกฤษกับ ด้วยตัวเอง พร้อมกับเขียนโน้ตถึงฉันว่า “มันไม่ใช่ว่าเธอไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่มันเป็นเพราะเธอยังไม่เจอวิธีที่จะเรียนรู้มันอย่างถูกต้อง สู้ๆ นะ!” การศึกษาภาษาอังกฤษตลอด 12 ปีเหมารวมอยู่ในการศึกษาด้วยตัวเองเพียง 3 เดือนจากคำแนะนำของอาจารย์ ฉันจึงค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมโดยทันทีเกี่ยวกับหลักสูตร Eng Breaking, อ่านเรื่องราวของเหล่าผู้เรียนที่มีอายุมากแล้ว ฉันพบว่าที่นั่นมีนักเรียนอายุ 78 ปีที่ยังคงเรียนภาษาอังกฤษอยู่ ขอบคุณวิธีนี้ มันทำให้ฉันพบ “ความตื่นเต้น” ที่จะเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้งแต่ครั้งนี้ฉันจะไม่ขอเงินจากพ่อแม่อีกแล้ว ฉันยอมควักเงินในกระเป๋าตัวเองเพื่อลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรศึกษาดวยตัวเองนี้ มันกลายเป็นว่าค่าเรียนตลอด 6 เดือนด้วยวิธีใหม่นี้มีราคาเท่ากับการลงเรียนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยใหม่อีกครั้ง ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องลองเสี่ยงดู เสียเงินหนึ่งครั้งก็ดีกว่าต้องมาเสียเงินลงเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า!ฉันตัดสินใจลงเรียน Eng Breaking โดยทันที จากนั้นก็ “ค่อยๆ” เรียนไปทีละนิด บทเรียนในหนึ่งสัปดาห์มีดังต่อไปนี้:
- วันจันทร์: การฟังเชิงลึก
- วันอังคาร: การทบทวน (ความเร็ว 2 แบบ: แบบช้าก่อนจากนั้นก็แบบเร็ว)
- วันพุธ, วันพฤหัสบดี, วันศุกร์, วันเสาร์: การโต้ตอบอย่างรวดเร็ว
- วันอาทิตย์: ว่าง
- ตอนแรกฉันไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่นักเพราะการทบทวนนั้นยาก (ลิ้นของฉันแข็งเพราะฉันไม่คุ้นเคยกับการพูดภาษาอังกฤษ) แต่ยิ่งเรียนบทเรียนต่างๆ มากเท่าไหร่ ฉันก็ชอบบทเรียนทบทวนมากเท่านั้นเพราะการอ่านออกเสียงของฉันพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งฉันจำเสียงตัวเองเวลาพูดภาษาอังกฤษในคลิปอัดเสียงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ฉันสนุกกับมันมากๆ เลย
การฟังเชิงลึกก็ไม่ยาก ฉันคัดลอกไฟล์ทั้งหมดลงมือถือของฉันเพื่อที่ฉันจะได้ฟังภาษาอังกฤษนิดหน่อยก่อนนอน, ในช่วงเวลาพักกินข้าวที่โรงเรียนหรือแม้กระทั่งตอนอาบน้ำ =)) ฉันทำแบบนี้เป็นประจำ
สำหรับการโต้ตอบอย่างรวดเร็ว ฉันฝึกความสามารถในการตอบภาษาอังกฤษให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปกติแล้วเมื่อฉันได้ยินนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกพูด สมองของฉันก็จะต้อง “คิด” สักพักก่อนที่ถึงจะเข้าใจและใช้เวลาอีกนิดหน่อยในการคิดเพื่อตอบคำถาม การฝึกโต้ตอบอย่างรวดเร็วนี้จะช่วยให้คุณพูดคำตอบที่ถูกต้องได้หลังจากที่ได้ยินคำถามโดยที่ไม่ต้อง “คิด” อีกต่อไป
การเรียนรู้แบบนี้ไม่ต้องใช้หนังสือมากมาย ทุกครั้งที่ฉันเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ฉันไม่ต้องจดลงสมุดหรือกระดาษอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นมันจึงเหมาะกับคนที่ขี้เกียจอย่างฉันมากๆ แค่คัดลอกไฟล์เสียงลงในโน้ตบุ๊คหรือมือถือและเสียบหูฟัง จากนั้นก็เรียนรู้ตามอัธยาศัย
ดือนในการเรียนให้จบหลักสูตร ถึงอย่างนั้นความสำเร็จที่ได้หลังที่ ”พยายาม” มาตลอด 4 เดือนถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว:
- พูดคุยกับนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกได้อย่างคล่องแคล่วด้วยสำเนียงมาตรฐานของชาวอเมริกัน
- ทักษะการฟังของฉันดีขึ้น (บางครั้งฉันทดสอบทักษะการฟังของฉันด้วย Ted-ed และฉันเข้าใจได้มากถึง 70-80%)
- การโต้ตอบในการฟัง-พูดของฉันดีขึ้นเยอะมากๆ
- และแน่นอนว่าคะแนนภาษาอังกฤษของฉันที่มหาวิทยาลัยก็ดีขึ้นด้วย จากที่เคยได้ 3 และ 4 คะแนนในอดีตกลายเป็น 8 และ 9 รู้สึกได้ราวกับว่าชีวิตของฉัน “กำลังเปลี่ยนไป”!การเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉัน…การได้เห็นความสามารถในภาษาอังกฤษของฉันดีขึ้น อาจารย์จึงสนับสนุนให้ฉันพยายามมากขึ้นเพื่อให้ได้ใบรับรอง IELTS และรับทุนไปเรียนต่อเมืองนอก ในตอนนั้นเองคำ 3 คำ “เรียนเมืองนอก” ฟังดู “หรูหรา” มากๆ สำหรับฉัน ฉันไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดด้วยซ้ำ! แต่ช่างมัน ฉันจะลองดู บางทีมันอาจจะออกมาดีก็ได้
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเรียน IELTS ด้วยตัวเอง (เพราะที่ศูนย์ภาษามีค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป) ฉันค้นหาสื่อการเรียนรู้ด้วยตัวเองบนอินเตอร์เน็ต หลักๆ คือเพื่อพัฒนา 2 ทักษะของการเขียนและการอ่าน สำหรับการฟังและการพูด ฉันค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณการเรียนหลักสูตร Eng Breaking ฉันแค่ต้องการเพิ่มความรู้ให้กับภาษาอังกฤษของฉันโดยการรวบรวมเคล็ดลับและคำศัพท์ให้มากขึ้นเพื่อจ่ายค่าสื่อการเรียนรู้ IELTS (อย่างที่คุณรู้ๆ กันว่าสื่อที่ใช้เรียน IELTS นั้นมีราคาค่อนข้างแพง) ฉันเลยสมัครเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติของที่พักแห่งหนึ่งที่ได้เงิน 200 บาท บางครั้งก็อาจได้ทิปจากนักท่องเที่ยวราวๆ 300-600 บาท ฉันสามารถรับทัวร์ได้ 5 ทัวร์ต่อเดือน โดยเฉลี่ยแล้วฉันได้เงิน 1500 – 3000 บาท ต้องขอบคุณงานไกด์นี้ที่ทำให้ฉันสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษและพบกับเพื่อนใหม่ๆ หลังจากที่ศึกษา IELTS ด้วยตัวเองสักพัก ฉันจึงลงสมัครเข้าสอบ ผลคะแนนโดยรวมของฉันคือ 7.0 (การฟัง: 7.0, การเขียน: 6.0, การพูด: 7.5, การอ่าน: 6.5) เยี่ยมไปเลย!สำหรับใครก็ตามที่แทบ “ไม่มีพื้นฐาน” ภาษาอังกฤษและ “ขี้ลืม” อย่างฉันยังสามารถเรียนได้ ฉันเชื่อว่าทุกคนสามารถเก่งภาษาอังกฤษได้ด้วยแค่ต้องมีศรัทธา ความตั้งใจอย่างมากอีกนิดหน่อย ให้ Eng Breaking ดูแลทุกอย่าง ฉันสาบานเลยว่ามันได้ผลจริง!
อ่านเพิ่มเติม วิธีพยากรณ์อากาศ Jokergame Joker Gamimg pg slot สล็อต
อัพเดทล่าสุด : 20 สิงหาคม 2021